วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เสื่อทะเล

Kindom:
Subkingdom:
Phylum:
Animalae
Lophotrochozoa
Bryozoa


เป็นสัตว์ทะเลโบราณที่เรายังพบมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ( P.Bryozoa ) มีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก (Zooid) อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Colony) แผ่แบนคลุมวัสดุใต้น้ำ ทำให้ได้ชื่อเรียกว่า เสื่อทะเลหรือพรมทะเล (Bryozoan) พบได้น้อยในน้ำจืด ส่วนใหญ่พบอาศัยในทะเล มีลำตัวเป็นเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม ไม่มีกระดูกสันหลัง มีการสกัดหินปูนจากน้ำทะเลออกมาเป็นปลอกรองรับลำตัว มีรูปร่างลำตัวเป็นทรงกระบอกคล้ายปะการัง แต่มีช่องเปิดด้านบนให้ส่วนหน้าของร่างกาย เป็นหนวด (Tentacle) เรียงกันเป็นวงรอบปาก เรียกว่า โลโพฟอร์ (Lopophore) โบกพัดให้เกิดกระแสน้ำไหลวน ช่วยจับอาหารในน้ำเข้าสู่ปาก
การเพิ่มจำนวนของเสื่อทะเลมีทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ ทำให้เกิดการแผ่หุ้มวัสดุที่พื้นผิวใต้น้ำหลายชนิด ทั้งชั้นดินตะกอน ใบสาหร่าย เปลือกหอย ชั้นหิน ฯลฯ มีทั้งแบบแบนแผ่หุ้ม เป็นก้อนเหมือนสมองและบิดเป็นเกลียว นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่ทำหน้าที่ยึดเกาะวัสดุ ซึ่งพวกเราพบซากดึกดำบรรพ์เป็นเป็นท่อแตกแขนง ภายในมีโครงสร้างรูปเข็ม ทั้งในหินตะกอนของชั้นหินยุคดีโวเนียน และในหินปูนยุคออร์โดวิเชียน
ซากดึกดำบรรพ์ของเสื่อทะเล พบตั้งแต่ยุคออร์โดวิเชียนตอนต้นจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ที่มีรูปร่างแตกต่างกันในแต่ละยุค จึงสามารถใช้เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (Fossil Index) ได้

การสำรวจ


​พบแหล่งซากดึกดำ​บรรพ์ยุคดี​โวเนียนแหล่ง​ใหญ่​ที่บ้านตะ​โล๊ะ​ใส​ ​ อำเภอละงู จังหวัดสตูล นอกจากพวกเราจะพบซากดึกดำบรรพ์ของหอยตะเกียง (Brachiopod), พลับพลึงทะเล (Chinoid) แล้ว ยังพบซากดึกดำบรรพ์ของเสื่อทะเลเป็นจำนวนมากน่าเสียดายที่ปัจจุบันชั้นหินนี้ ถูกนำไปถมถนนสายละงู-ปากบาราจนหมด แต่ในชั้นลึกเข้าไปเรายังไม่พบเพิ่มเลยนะครับ

แกรปโตไลต์

Kingdom
Phylum
Class
Animalae
Hemichordata
Graptolithina


แกรปโตไลต์ (Graptolite) เป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็กที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Colony) ในกลุ่มเฮมิคอร์ดาตา (Hemichordata) โดยชื่อไฟลัมได้จาก hemi = ครึ่ง , chordate = สัน ซึ่งหมายถึง กลุ่มของสัตว์กึ่งสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ในกลุ่มที่ตัวอ่อนพัฒนาส่วนทวารหนักก่อน (Deuterostoma) เหมือนกับกลุ่มดาวทะเล เม่นทะเล (Echinoderm)กับกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง (Chordata) ดำรงชีพโดยการกรองกินแพลงก์ตอนในน้ำทะเล ด้วยขนเล็ก(Cilia) โบดพัดให้อาหารเข้าสู่ปาก ลำตัวของแกรปโตไลท์แต่ละตัว อยู่ในปลอกท่อสั้นๆ (theca) และเชื่อมติดกับแกน (nema) ทำให้โคโลนีต่อกันเป็นแกนยาว (stipe) มีทุ่นช่วยในการลอยตัวใกล้ผิวน้ำ

ชื่อแกรปโตไลต์ได้มาจาก “graptos” หมายถึง เขียน และ “lithos” หมายถึง หิน เนื่องจากพบซากดึกดำบรรพ์นี้ในหินดินดานสีดำ (ฺShale) เป็นรอยพิมพ์บางๆ เหมือนรอยดินสอขีดบนแผ่นหิน เนื่องมาจากสภาพการตายของแกรปโตไลต์ ที่ตกลงมาทับถมที่ก้นทะเล
แกรปโตไลต์เริ่มมีตั้งแต่ยุคแคมเบรียน (Cambrian preriod) แต่แพร่กระจายมากที่สุดในยุคไซลูเรียน (Silurian period) จากนั้นเริ่มลดปริมาณลง จนสูญพันธุ์หมดในยุคเพอร์เมียน (Permian period) นอกจากนี้ แต่ละยุคจะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปในสายพันธุ์ จึงสามารถใช้เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (Index fossil ) ได้ดี และยังเป็นตัวระบุชั้นหินของมหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic Era) เมื่อ 512-251 ล้านปีก่อน ได้เป็นอย่างดี

การสำรวจ

ฟองน้ำทะเล

Kingdom:
Phylum:
Animalae
Porifera


หลายๆคนคิดว่า ฟองน้ำเป็นพืช อาจจะเนื่องจากรูปร่างเหมือนพืช เคลือนที่ไม่ได้ มีสีสรรสวยงามเหมือนพืช แท้ที่จริงแล้ว ฟองน้ำทะเลเป็นสัตว์ ประกอบด้วยเซลล์จัดเรียงตัวกันหลวมๆ ภายในเป็นผนังลำตัวเป็นสองชั้น โดยมีช่องน้ำเป็นรูเล็กๆพรุน ให้น้ำไหลเข้าโพรงลำตัว และมีท่อรวมขนาดใหญ่ให้น้ำไหลออกจากลำตัว และเซลล์ที่บุอยู่รอบโพรงลำตัว จะจับแพลงก์ตอนจากน้ำทะเลที่ไหลเข้ามา กินเป็นอาหาร นอกจากนี้ จะมีขวากหนาม (spicule) ช่วยค้ำจุนร่างกาย อาจจะเป็นรูปแท่ง รูปเข็ม รูปแฉก ฯลฯ มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปร่างเหมือนครก เส้นเชือก คล้ายพัด บางชนิดเป็นฟองน้ำเคลือบอยู่บนวัสดุในแหล่งน้ำ มีทั้งฟองน้ำน้ำจืดและฟองน้ำทะเล
การไหลของน้ำทะเลในทิศทางเดียวกันทั้งเข้าและออกจากลำตัว ทำให้เกิดการกินอาหาร การหายใจ การขับถ่ายและการสืบพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัยของฟองน้ำทะเลจึงเกี่ยวข้องกับการไหลของกระแสน้ำ การดำรงชีวิตแบบจับแพลงก์ตอนกินเป็นอาหารแบบสัตว์ ไม่เหมือนสาหร่ายที่จำเป็นต้องใช้แสงช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การแพร่กระจายของฟองน้ำทะเลจึงกว้างกว่าสาหร่ายต่างๆ ที่ต้องอยู่ในน้ำตื้นหรือน้ำใส ดังนั้น

สาหร่ายสโตรมาโตไลต์

Kingdom :
Subkingdom :
Phylum :
Monera
Eubacteria
Cyanobacteria


เป็นสาหร่ายที่เกาะกันเป็นพืดปกคลุมอยู่บนหินในยุคแคมเบรียนและในยุคก่อนหน้านั้น ปัจจุบันนี้ เหลืออยู่เพียงที่เดียวในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ ที่อ่าวชาร์ก ทางภาคตะวันตกของออสเตรเลีย ซึ่งในอดีตแพร่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยแนวก้อนหินใหญ่น้อยหิน ที่มีสาหร่ายสโตรมาโตไลท์ปกคลุมนั้น จะมีผิวด้านบนเป็นจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตซ้อนกันเป็นชั้นบางๆ โดยชั้นบนสุดคือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน(Blue-green algae) หรือที่เรียกว่า ไซยาโนแบคทีเรีย(Cyanobacteria) ที่สังเคราะห์แสงและผลิตก๊าซออกซิเจน ส่วนชั้นกลางเป็นแบคทีเรียที่ทนออกซิเจนและแสงแดดได้บ้าง และชั้นล่างสุด เป็นแบคทีเรียที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะไร้ออกซิเจนและแสงแดดเท่านั้น ดำรงชีวิตแบบพึ่งพากัน(Mutualism)

เศษตะกอนที่มาติดตามพืดหิน จะถูกจุลินทรีย์เหล่านี้เชื่อมติดกันและพอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหินแข็งๆ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงต้องเจริญเติบโตแทรกผ่านชั้นตะกอนขึ้นมาเพื่อให้ได้รับแสงแดด ทำให้เห็นเป็นชั้นๆแทรกในหิน
สโตรมาโตไลท์มีความสำคัญต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตคือ เป็นตัวจัดหาออกซิเจนให้แก่สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มในยุคพรีแคมเบรียน ทั้งนี้ในยุคก่อนหน้าี้ไม่มีออกซิเจนอิสระอยู่เลย แต่จะอยู่ในรูปของสารประกอบที่ปะปนอยู่สสารต่างๆ รวมทั้งน้ำทะเล (เหมือนกับเกลือละลายในน้ำทะเล) ออกซิเจนทีสาหร่ายสโตรมาโตไลต์สร้างขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นส่วนหนึ่งที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ แบบหายใจโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria) ทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อน ที่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนซึ่งให้พลังงาน Adenosine triphosphate (ATP) สูงกว่า จนเกิดวิวัฒนาการจนถึงปัจจุบัน

ไทรโลไบท์

PhylumArthropoda
SubphylumTrilobitomorpha
ClassTrilobita
(Walch, 1771)



ไทรโลไบท์เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ั์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง มีลำตัวด้านบนเป็นกระดองเปลือกหุ้มลำตัวด้านล่างและขาเดินเอาไว้ มีตาประกอบ(Compound eyes) ขนาดใหญ่ 2 ข้าง ปากอยู่ด้านล่าง และมีรยางค์ขาเป็นข้อเป็นปล้องอยู่เป็นคู่ด้านล่าง ไทรโลไบท์มีตั้งแต่ขนาดเล็ก 2 cm จนถึงขนาดเกือบ 1 m
ชื่อ”ไทรโลไบท์” ได้มาจากการที่มีลำตัวแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
  • แบ่งตามแนวยาวคือ ลำตัวส่วนอกตรงกลาง 1 ส่วน (Axial Lobe)และมีพูด้านข้าง 2 ส่วน (Pleural Lobe)
  • หรือแบ่งตามแนวขวางคือ 1.ส่วนหัว(Cephalon) 2.ส่วนอก(Thorax) 3.ส่วนท้ายสั้นๆ (Pygidium)

หอยตะเกียง

KingdomAnimalae
PhylumBrachiopoda
(Duméril,1806)



แม้จะมีรูปร่างเหมือนหอยสองฝา(Bivalvia) แต่มีส่วนของรยางค์ยื่น(Pedicle) ติดกับฝาประกบทั้งสองของเปลือก(Sulcus) ยื่นออกมายึดติดกับพิ้นดินเลนโคลนใต้ทะเล ตามชื่อ Branch = รยางค์ แขนง Pod = poda ขา เพื่อสามารถยึดเกาะ ยืดหดเพื่อหลบหนีภัยได้ และมีการกินอาหาร โดยใช้รยางค์เป็นตะแกรงกรองอาหาร (Lopopore) จึงเป็นคนละกลุ่มกับหอยสองฝา (Phylum Mollusca) จัดเป็นไฟลัมเล็กๆ (minor Phylum Brachiopoda) ที่เหลือจำนวนไม่มากในปัจจุบัน แบ่งได้แค่ 2 Class
การแพร่กระจายสายพันธุ์ของหอยตะเกียงมีอายุยาวนาน ตั้งแต่ยุคโบราณ (Paleozic era) จนถึงปัจจุบัน และแต่ละยุคนั้น มีความหลากหลายของสายพันธุ์มาก สามารถสังเกตได้จากรูปร่างเปลือกภายนอกได้ง่าย จึงใช้เป็นดัชนีตัดสิน(Index fossil) เพื่อระบุอายุของชั้นหินได้ สะดวกต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในงานภาคสนามแก่นักเรียน คำถามที่พบมากที่สุดคือ มีเกณฑ์การพิจารณาความแตกต่างระหว่างหอยตะเกียง (Brachiopod) กับหอยสองฝา(Pelicypod) อย่างไร?
อาจพิจารณาดังนี้
  1. หอยตะเกียงมีฝาบนและฝาล่างมีขนาดไม่เท่ากัน ในขณะที่หอยสองฝามีขนาดไม่แตกต่างกัน
  2. หอยตะเกียงจะกินอาหารโดยการกรองด้วยโลโปฟอร์ (Lopophore) ดูภาพด้านบนประกอบ ในขณะที่หอยสองฝาใช้เท้า (Bulb) เลียอาหารกิน
  3. หอยสองฝามุดอยู่ในดิน แต่หอยตะเกียงจะมีเอ็น (Pedicle) ยึดเกาะ ในชนิดที่มีเอ็นยาวสามารถยืดหดหลบภัยศัตรูได้
  4. เปลือกหอยตะเกียงด้านจะมีสันนูน (Sulcus) นูนขึ้นในหลายสปีชีส

แอมโมไนต์

PhylumMollusca
ClassCephalopoda
SubclassAmmonoidea (Zitte,1884)



แอมโมไนต์มีชีวิตอยู่ในทะเลในช่วง 240 – 65 ล้านปีก่อน จัดเป็นสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม มีการสร้างเปลือกทำด้วยแคลเซี่ยมคาร์บอเนตเช่นเดียวกับปลาหมึกโบราณ(Nautiloid)แต่มีวิวัฒนาการต่อเนื่องไป โดยวิวัฒนาการแตกแขนงออกเป็นเป็น 2 แบบคือ แบบแรกค่อยลดการมีเปลือกลง จนเป็นหมึกทะเลที่เราบริโภคในปัจจุบัน ส่วนแบบที่สอง เป็นกลุ่มที่สร้างเปลือกคล้ายหอย จะวิวัฒนาการเปลือกให้ม้วนงอเป็นวง จนมีรูปร่างเหมือนหอยฝาเดียว ซึ่งนิยมเรียกสัตว์ในกลุ่มนี้ี้ว่า Ammonite แต่ภายในยังคงสภาพการมีห้องอับเฉา(Septum) และมีท่อสูบฉีดน้ำ (Siphuncle) ช่วยควบคุมการดันน้ำเข้าเช่นเดียวกับหมึกทะเลโบราณ ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้หลายทิศทางเช่นเดียวกับเรือดำน้ำ นอกจากนี้ ยังมีท่อพ่นน้ำ (Siphon) พ่นน้ำออก จึงเคลื่อนได้เร็วในน้ำ
ปัจจุบันนี้ยังมีลูกหลานเหลืออยู่ในธรรมชาติ คือ

Fossil in Satun จัดทำโดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2