วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เสื่อทะเล

Kindom:
Subkingdom:
Phylum:
Animalae
Lophotrochozoa
Bryozoa


เป็นสัตว์ทะเลโบราณที่เรายังพบมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ( P.Bryozoa ) มีลักษณะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก (Zooid) อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Colony) แผ่แบนคลุมวัสดุใต้น้ำ ทำให้ได้ชื่อเรียกว่า เสื่อทะเลหรือพรมทะเล (Bryozoan) พบได้น้อยในน้ำจืด ส่วนใหญ่พบอาศัยในทะเล มีลำตัวเป็นเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม ไม่มีกระดูกสันหลัง มีการสกัดหินปูนจากน้ำทะเลออกมาเป็นปลอกรองรับลำตัว มีรูปร่างลำตัวเป็นทรงกระบอกคล้ายปะการัง แต่มีช่องเปิดด้านบนให้ส่วนหน้าของร่างกาย เป็นหนวด (Tentacle) เรียงกันเป็นวงรอบปาก เรียกว่า โลโพฟอร์ (Lopophore) โบกพัดให้เกิดกระแสน้ำไหลวน ช่วยจับอาหารในน้ำเข้าสู่ปาก
การเพิ่มจำนวนของเสื่อทะเลมีทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ ทำให้เกิดการแผ่หุ้มวัสดุที่พื้นผิวใต้น้ำหลายชนิด ทั้งชั้นดินตะกอน ใบสาหร่าย เปลือกหอย ชั้นหิน ฯลฯ มีทั้งแบบแบนแผ่หุ้ม เป็นก้อนเหมือนสมองและบิดเป็นเกลียว นอกจากนี้ ยังมีส่วนที่ทำหน้าที่ยึดเกาะวัสดุ ซึ่งพวกเราพบซากดึกดำบรรพ์เป็นเป็นท่อแตกแขนง ภายในมีโครงสร้างรูปเข็ม ทั้งในหินตะกอนของชั้นหินยุคดีโวเนียน และในหินปูนยุคออร์โดวิเชียน
ซากดึกดำบรรพ์ของเสื่อทะเล พบตั้งแต่ยุคออร์โดวิเชียนตอนต้นจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์ที่มีรูปร่างแตกต่างกันในแต่ละยุค จึงสามารถใช้เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (Fossil Index) ได้

การสำรวจ


​พบแหล่งซากดึกดำ​บรรพ์ยุคดี​โวเนียนแหล่ง​ใหญ่​ที่บ้านตะ​โล๊ะ​ใส​ ​ อำเภอละงู จังหวัดสตูล นอกจากพวกเราจะพบซากดึกดำบรรพ์ของหอยตะเกียง (Brachiopod), พลับพลึงทะเล (Chinoid) แล้ว ยังพบซากดึกดำบรรพ์ของเสื่อทะเลเป็นจำนวนมากน่าเสียดายที่ปัจจุบันชั้นหินนี้ ถูกนำไปถมถนนสายละงู-ปากบาราจนหมด แต่ในชั้นลึกเข้าไปเรายังไม่พบเพิ่มเลยนะครับ

แกรปโตไลต์

Kingdom
Phylum
Class
Animalae
Hemichordata
Graptolithina


แกรปโตไลต์ (Graptolite) เป็นสัตว์ทะเลขนาดเล็กที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (Colony) ในกลุ่มเฮมิคอร์ดาตา (Hemichordata) โดยชื่อไฟลัมได้จาก hemi = ครึ่ง , chordate = สัน ซึ่งหมายถึง กลุ่มของสัตว์กึ่งสัตว์มีกระดูกสันหลัง เป็นสัตว์ในกลุ่มที่ตัวอ่อนพัฒนาส่วนทวารหนักก่อน (Deuterostoma) เหมือนกับกลุ่มดาวทะเล เม่นทะเล (Echinoderm)กับกลุ่มสัตว์มีกระดูกสันหลัง (Chordata) ดำรงชีพโดยการกรองกินแพลงก์ตอนในน้ำทะเล ด้วยขนเล็ก(Cilia) โบดพัดให้อาหารเข้าสู่ปาก ลำตัวของแกรปโตไลท์แต่ละตัว อยู่ในปลอกท่อสั้นๆ (theca) และเชื่อมติดกับแกน (nema) ทำให้โคโลนีต่อกันเป็นแกนยาว (stipe) มีทุ่นช่วยในการลอยตัวใกล้ผิวน้ำ

ชื่อแกรปโตไลต์ได้มาจาก “graptos” หมายถึง เขียน และ “lithos” หมายถึง หิน เนื่องจากพบซากดึกดำบรรพ์นี้ในหินดินดานสีดำ (ฺShale) เป็นรอยพิมพ์บางๆ เหมือนรอยดินสอขีดบนแผ่นหิน เนื่องมาจากสภาพการตายของแกรปโตไลต์ ที่ตกลงมาทับถมที่ก้นทะเล
แกรปโตไลต์เริ่มมีตั้งแต่ยุคแคมเบรียน (Cambrian preriod) แต่แพร่กระจายมากที่สุดในยุคไซลูเรียน (Silurian period) จากนั้นเริ่มลดปริมาณลง จนสูญพันธุ์หมดในยุคเพอร์เมียน (Permian period) นอกจากนี้ แต่ละยุคจะมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไปในสายพันธุ์ จึงสามารถใช้เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (Index fossil ) ได้ดี และยังเป็นตัวระบุชั้นหินของมหายุคพาลีโอโซอิก (Paleozoic Era) เมื่อ 512-251 ล้านปีก่อน ได้เป็นอย่างดี

การสำรวจ

ฟองน้ำทะเล

Kingdom:
Phylum:
Animalae
Porifera


หลายๆคนคิดว่า ฟองน้ำเป็นพืช อาจจะเนื่องจากรูปร่างเหมือนพืช เคลือนที่ไม่ได้ มีสีสรรสวยงามเหมือนพืช แท้ที่จริงแล้ว ฟองน้ำทะเลเป็นสัตว์ ประกอบด้วยเซลล์จัดเรียงตัวกันหลวมๆ ภายในเป็นผนังลำตัวเป็นสองชั้น โดยมีช่องน้ำเป็นรูเล็กๆพรุน ให้น้ำไหลเข้าโพรงลำตัว และมีท่อรวมขนาดใหญ่ให้น้ำไหลออกจากลำตัว และเซลล์ที่บุอยู่รอบโพรงลำตัว จะจับแพลงก์ตอนจากน้ำทะเลที่ไหลเข้ามา กินเป็นอาหาร นอกจากนี้ จะมีขวากหนาม (spicule) ช่วยค้ำจุนร่างกาย อาจจะเป็นรูปแท่ง รูปเข็ม รูปแฉก ฯลฯ มีรูปร่างหลายแบบ เช่น รูปร่างเหมือนครก เส้นเชือก คล้ายพัด บางชนิดเป็นฟองน้ำเคลือบอยู่บนวัสดุในแหล่งน้ำ มีทั้งฟองน้ำน้ำจืดและฟองน้ำทะเล
การไหลของน้ำทะเลในทิศทางเดียวกันทั้งเข้าและออกจากลำตัว ทำให้เกิดการกินอาหาร การหายใจ การขับถ่ายและการสืบพันธุ์ แหล่งที่อยู่อาศัยของฟองน้ำทะเลจึงเกี่ยวข้องกับการไหลของกระแสน้ำ การดำรงชีวิตแบบจับแพลงก์ตอนกินเป็นอาหารแบบสัตว์ ไม่เหมือนสาหร่ายที่จำเป็นต้องใช้แสงช่วยในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การแพร่กระจายของฟองน้ำทะเลจึงกว้างกว่าสาหร่ายต่างๆ ที่ต้องอยู่ในน้ำตื้นหรือน้ำใส ดังนั้น

สาหร่ายสโตรมาโตไลต์

Kingdom :
Subkingdom :
Phylum :
Monera
Eubacteria
Cyanobacteria


เป็นสาหร่ายที่เกาะกันเป็นพืดปกคลุมอยู่บนหินในยุคแคมเบรียนและในยุคก่อนหน้านั้น ปัจจุบันนี้ เหลืออยู่เพียงที่เดียวในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ ที่อ่าวชาร์ก ทางภาคตะวันตกของออสเตรเลีย ซึ่งในอดีตแพร่กระจายอยู่ทั่วโลก โดยแนวก้อนหินใหญ่น้อยหิน ที่มีสาหร่ายสโตรมาโตไลท์ปกคลุมนั้น จะมีผิวด้านบนเป็นจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตซ้อนกันเป็นชั้นบางๆ โดยชั้นบนสุดคือ สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน(Blue-green algae) หรือที่เรียกว่า ไซยาโนแบคทีเรีย(Cyanobacteria) ที่สังเคราะห์แสงและผลิตก๊าซออกซิเจน ส่วนชั้นกลางเป็นแบคทีเรียที่ทนออกซิเจนและแสงแดดได้บ้าง และชั้นล่างสุด เป็นแบคทีเรียที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ได้ในสภาวะไร้ออกซิเจนและแสงแดดเท่านั้น ดำรงชีวิตแบบพึ่งพากัน(Mutualism)

เศษตะกอนที่มาติดตามพืดหิน จะถูกจุลินทรีย์เหล่านี้เชื่อมติดกันและพอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหินแข็งๆ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จึงต้องเจริญเติบโตแทรกผ่านชั้นตะกอนขึ้นมาเพื่อให้ได้รับแสงแดด ทำให้เห็นเป็นชั้นๆแทรกในหิน
สโตรมาโตไลท์มีความสำคัญต่อการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตคือ เป็นตัวจัดหาออกซิเจนให้แก่สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มในยุคพรีแคมเบรียน ทั้งนี้ในยุคก่อนหน้าี้ไม่มีออกซิเจนอิสระอยู่เลย แต่จะอยู่ในรูปของสารประกอบที่ปะปนอยู่สสารต่างๆ รวมทั้งน้ำทะเล (เหมือนกับเกลือละลายในน้ำทะเล) ออกซิเจนทีสาหร่ายสโตรมาโตไลต์สร้างขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นส่วนหนึ่งที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ แบบหายใจโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic bacteria) ทำให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างซับซ้อน ที่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจนซึ่งให้พลังงาน Adenosine triphosphate (ATP) สูงกว่า จนเกิดวิวัฒนาการจนถึงปัจจุบัน

ไทรโลไบท์

PhylumArthropoda
SubphylumTrilobitomorpha
ClassTrilobita
(Walch, 1771)



ไทรโลไบท์เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ั์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง มีลำตัวด้านบนเป็นกระดองเปลือกหุ้มลำตัวด้านล่างและขาเดินเอาไว้ มีตาประกอบ(Compound eyes) ขนาดใหญ่ 2 ข้าง ปากอยู่ด้านล่าง และมีรยางค์ขาเป็นข้อเป็นปล้องอยู่เป็นคู่ด้านล่าง ไทรโลไบท์มีตั้งแต่ขนาดเล็ก 2 cm จนถึงขนาดเกือบ 1 m
ชื่อ”ไทรโลไบท์” ได้มาจากการที่มีลำตัวแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
  • แบ่งตามแนวยาวคือ ลำตัวส่วนอกตรงกลาง 1 ส่วน (Axial Lobe)และมีพูด้านข้าง 2 ส่วน (Pleural Lobe)
  • หรือแบ่งตามแนวขวางคือ 1.ส่วนหัว(Cephalon) 2.ส่วนอก(Thorax) 3.ส่วนท้ายสั้นๆ (Pygidium)

หอยตะเกียง

KingdomAnimalae
PhylumBrachiopoda
(Duméril,1806)



แม้จะมีรูปร่างเหมือนหอยสองฝา(Bivalvia) แต่มีส่วนของรยางค์ยื่น(Pedicle) ติดกับฝาประกบทั้งสองของเปลือก(Sulcus) ยื่นออกมายึดติดกับพิ้นดินเลนโคลนใต้ทะเล ตามชื่อ Branch = รยางค์ แขนง Pod = poda ขา เพื่อสามารถยึดเกาะ ยืดหดเพื่อหลบหนีภัยได้ และมีการกินอาหาร โดยใช้รยางค์เป็นตะแกรงกรองอาหาร (Lopopore) จึงเป็นคนละกลุ่มกับหอยสองฝา (Phylum Mollusca) จัดเป็นไฟลัมเล็กๆ (minor Phylum Brachiopoda) ที่เหลือจำนวนไม่มากในปัจจุบัน แบ่งได้แค่ 2 Class
การแพร่กระจายสายพันธุ์ของหอยตะเกียงมีอายุยาวนาน ตั้งแต่ยุคโบราณ (Paleozic era) จนถึงปัจจุบัน และแต่ละยุคนั้น มีความหลากหลายของสายพันธุ์มาก สามารถสังเกตได้จากรูปร่างเปลือกภายนอกได้ง่าย จึงใช้เป็นดัชนีตัดสิน(Index fossil) เพื่อระบุอายุของชั้นหินได้ สะดวกต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในงานภาคสนามแก่นักเรียน คำถามที่พบมากที่สุดคือ มีเกณฑ์การพิจารณาความแตกต่างระหว่างหอยตะเกียง (Brachiopod) กับหอยสองฝา(Pelicypod) อย่างไร?
อาจพิจารณาดังนี้
  1. หอยตะเกียงมีฝาบนและฝาล่างมีขนาดไม่เท่ากัน ในขณะที่หอยสองฝามีขนาดไม่แตกต่างกัน
  2. หอยตะเกียงจะกินอาหารโดยการกรองด้วยโลโปฟอร์ (Lopophore) ดูภาพด้านบนประกอบ ในขณะที่หอยสองฝาใช้เท้า (Bulb) เลียอาหารกิน
  3. หอยสองฝามุดอยู่ในดิน แต่หอยตะเกียงจะมีเอ็น (Pedicle) ยึดเกาะ ในชนิดที่มีเอ็นยาวสามารถยืดหดหลบภัยศัตรูได้
  4. เปลือกหอยตะเกียงด้านจะมีสันนูน (Sulcus) นูนขึ้นในหลายสปีชีส

แอมโมไนต์

PhylumMollusca
ClassCephalopoda
SubclassAmmonoidea (Zitte,1884)



แอมโมไนต์มีชีวิตอยู่ในทะเลในช่วง 240 – 65 ล้านปีก่อน จัดเป็นสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่ม มีการสร้างเปลือกทำด้วยแคลเซี่ยมคาร์บอเนตเช่นเดียวกับปลาหมึกโบราณ(Nautiloid)แต่มีวิวัฒนาการต่อเนื่องไป โดยวิวัฒนาการแตกแขนงออกเป็นเป็น 2 แบบคือ แบบแรกค่อยลดการมีเปลือกลง จนเป็นหมึกทะเลที่เราบริโภคในปัจจุบัน ส่วนแบบที่สอง เป็นกลุ่มที่สร้างเปลือกคล้ายหอย จะวิวัฒนาการเปลือกให้ม้วนงอเป็นวง จนมีรูปร่างเหมือนหอยฝาเดียว ซึ่งนิยมเรียกสัตว์ในกลุ่มนี้ี้ว่า Ammonite แต่ภายในยังคงสภาพการมีห้องอับเฉา(Septum) และมีท่อสูบฉีดน้ำ (Siphuncle) ช่วยควบคุมการดันน้ำเข้าเช่นเดียวกับหมึกทะเลโบราณ ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้หลายทิศทางเช่นเดียวกับเรือดำน้ำ นอกจากนี้ ยังมีท่อพ่นน้ำ (Siphon) พ่นน้ำออก จึงเคลื่อนได้เร็วในน้ำ
ปัจจุบันนี้ยังมีลูกหลานเหลืออยู่ในธรรมชาติ คือ

นอติลอยด์


Phylum:
Class:
Subclass:
Mollusca
Cephalopoda
Nautiloidea (Agassiz,1847)


ในยุคโบราณ(Paleonzoic) หมึกทะเลไม่ได้มีรูปร่างเหมือนในปัจจุบัน ถึงแม้จะจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนิ่มเช่นเดียวกับหอยต่างๆ แต่ได้พัฒนาส่วนหัวและพัฒนาเปลือกหุ้มลำตัวจำพวกแคลเซี่ยมคาร์บอเนต(เหมือนเปลือกหอย) มีรูปร่างเป็นกรวยตรงหุ้มลำตัวไว้ โผล่แต่ส่วนหนวดออกมาไว้จับเหยื่อเป็นอาหาร นอกจากนี้ ยังเป็นสัตว์ที่เคลื่อนที่ได้เร็ว โดยใช้วิธีดูดน้ำเข้ามาไว้ในช่องว่างในลำตัว แล้วบีบออกทางท่อพ่นน้ำ(hyponome) ซึ่งอยู่ด้านท้องใกล้ส่วนหัว ทำให้พุ่งไปเร็วเหมือนเครื่องบินไอพ่น
อีกทั้งหมึกโบราณชนิดนี้ มีการพัฒนาเปลือกหุ้มลำตัวส่วนท้ายลำตัวให้เป็นห้องอับเฉา(Septum) โดยมีท่อสูบฉีดน้ำ(Siphuncle) ช่วยควบคุมน้ำเข้า-ออกในห้องอับเฉาเหมือนเรือดำน้ำ หากต้องการลอยตัวจะดูดน้ำออกจากห้องอับเฉาเหล่านี้ เพื่อลดความหนาแน่นภายในลำตัว ทำให้ลอยตัวขึ้น ในทำนองเดียวกัน จะใช้วิธีอัดน้ำเข้าในช่องว่าง เพื่อเพิ่มความหนาแน่น ทำให้จมตัวลง หลักการนี้ยังพบในหอยงวงช้าง(Nautilus) ซึ่งเป็นแขนงที่วิวัฒนานาการมาจากสัตว์ในกลุ่มนี้ แต่ปลาหมึกปัจจุบันที่เราบริโภคกันอยู่ วิวัฒนาการมาโดยไม่เหลือร่องรอยการมีเปลือกหุ้มส่วนนี้ แต่ในปลาหมึกบางชนิด(paper nautilus, Argonauta argo) จะสร้างเปลือกเฉพาะในช่วงที่วางไข่เท่านั้น เป็นหลักฐานยืนยันการิวัฒนาการ

การศึกษา อนุรักษ์ และเผยแพร่ความรู้ด้านซากดึกดำบรรพ์

การศึกษา อนุรักษ์ และเผยแพร่ความรู้ด้านซากดึกดำบรรพ์

   ซากดึกดำบรรพ์ทุกตัวอย่างที่เก็บมาได้ แม้จะเป็นเพียงแค่เศษดินหรือเศษหินก้อนหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีการศึกษารายละเอียดและไม่ทราบว่า เป็นตัวอย่างของอะไร และเก็บไว้นานเข้า ตัวอย่างดังกล่าวก็อาจผุพังหรือสูญหายไปได้ ทั้งที่อาจเป็นตัวอย่างชนิดใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในโลก
หากมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ในเบื้องต้น ควรมีการจดบันทึกตำแหน่งที่ค้นพบ ลักษณะชั้นที่ค้นพบ ภาพถ่ายและควรแจ้งให้กรมทรัพยากรธรณีทราบ การศึกษาวิจัยซากดึกดำบรรพ์
หลังจากทำความสะอาดตัวอย่างดังกล่าวแล้ว ต้องนำมาศึกษาเปรียบเทียบกับซากดึกดำบรรพ์ที่เคยพบมาจากบริเวณอื่นๆ ทั้งนี้อาจเปรียบเทียบกับรูปในเอกสาร ตำราวิชาการ หรือตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ที่เก็บไว้อย่างเป็นระบบในพิพิธภัณฑ์
หากพบว่า ตัวอย่างดังกล่าวไม่เหมือนตัวอย่างใดๆที่เคยมีการบันทึกไว้ก่อน อาจเป็นซากดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ของโลก ต้องทำการศึกษาวิจัยอย่างละเอียด แล้วเขียนรายงานพร้อมคำบรรยาย ลักษณะพิเศษ ขนาดและรูปภาพ พร้อมชี้แจงความแตกต่างจากซากดึกดำบรรรพ์ในกลุ่มเดียวกัน แล้วส่งไปตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับ และตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ดังกล่าวถือเป็นตัวอย่างต้นแบบ (Holotype) ต้องจัดเก็บไว้ในหน่วยงานที่มีสถานที่จัดเก็บที่เหมาะสม และเป็นหน่วยงานที่มีเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ในด้านโบราณชีววิทยา คอยดูแลและสามารถให้ผู้เชี่ยวชาญจากที่อื่น มาศึกษาเปรียบเทียบได้สะดวก
ตัวอย่างต้นแบบดังกล่าว จะไม่นำมาจัดแสดงในที่สาธารณะ เนื่องจากอาจเกิดชำรุดแตกหักเสียหายได้ ถ้าตัวอย่างดังกล่าวสูญเสียไป จะถูกยกเลิกจากการเป็นตัวอย่างต้นแบบในที่สุด.
แหล่งซากดึกดำบรรพ์เป็นมรดกที่ธรรมชาติได้สร้างไว้ให้แก่มนุษย์ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ต้องอาศัยสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่เหมาะสมถึงช่วงเวลาต่อนื่องอย่างยาวนาน จึงจะเกิดเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่ถูกเก็บรักษาในชั้นหินได้ แหล่งซากดึกดำบรรพ์จึงเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า หากถูกทำลายไปแล้วไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนใหม่ได้ นอกจากนั้น ยังเป็นแหล่งที่มีคุณค่าทางจิตใจและมีความสำคัญต่อคุณภาพชีวิต การมีสวนร่วมของประชาชนในการร่วมมือกันอนุรักษ์ นับเป็นวิถีทางหนึ่ง ที่มีส่วนช่วยในการปกป้อง คุ้มครองไม่ให้แหล่งซากดึกดำบรรพ์ต้องเสื่อมสลายไปก่อนจะถึงเวลาอันควร

แม้ว่าแหล่งซากดึกดำบรรพ์หลายแห่งๆในประเทศไทย จะผุพังเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติอยู่แล้วก็ตาม แต่มีไม่น้อยที่แหล่งซากดึกดำบรรพ์ได้สูญสลายไปเร็วขึ้น ด้วยน้ำมือของมนุษย์ที่นำทรัพยากรธรณีประเภทต่างๆ ไปใช่ประโยชน์จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่น่าเสียดาบ ในทางตรงกันข้าม หากเราสามารถชะลอการสูญเสียแหล่งซากดึกดำบรรพ์ตามธรรมชาติได้บ้าง โดยอาศัยการอนุรักษ์คุ้มครอง ดูแล บริการจัดการที่ดี ลดผลกระทบที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่แหล่งซากดึกดำบรรพ์นั้นๆ ทำให้แหล่งคงสภาพอยู่เป็นประโยชน์แก้ประชาชนได้นานที่สุด
การเผยแพร่ความรู้ซากดึกดำบรรพ์ ผ่านการค้นพบที่สำคัญๆในระดับประเทศมากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้มีความสำคัญต่องานวิจัย ความเป็นมาของประวัติโลก การเป็นมรดกทางธรรมชาติของแผ่นดิน และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่น ถือเป็นสมบัติของชาติที่ควรอนุรักษ์ไว้
ในงานดำเนินการอนุรักษ์ซากดึกดำบรรพ์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา โรงเรียนกำแพงวิทยาของเรา ได้มีพันธกิจงานดำเนินการนี้อยู่ 4 งานคือ
  1. การให้ความรู้แก่เยาวชนเพื่อปลูกฝังจิตอนุรักษ์ในรูปของกิจกรรมชุมนุมพิพิธภัณฑ์ฯ
  2. การถ่ายทอดความรู้แก่หน่วยงานในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง
  3. การจัดทำพิมพ์ซากดึกดำบรรพ์จำลองจากแหล่งธรรมชาติและบันทึกแหล่งที่พบไว้
  4. การเก็บซากดึกดำบรรพ์ในบริเวณที่มีภาวะเสี่ยง เช่น บริเวณพื้นที่ระเบิดหิน, บริเวณที่มีการขายหน้าดิน หินกองริมถนน ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม หลายๆ หน่วยงานโดยเฉพาะกรมทรัพยากรธรณี ได้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน และในปัจจุบันได้มีพระราชบัญญัติซากดึกดำบรรพ์ออกมาบังคับใช้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 แล้ว โดยมีเจตนารมณ์ที่จะคุ้มครอง อนุรักษ์ รักษาไว้ให้เป็นมรดกธรรมชาติของแผ่นดินต่อไปนานเท่านาน

การศึกษาสำรวจซากดึกดำบรรพ์ในท้องถิ่น

การศึกษาสำรวจซากดึกดำบรรพ์ในท้องถิ่น


บริเวณที่จะสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์
ซากดำบรรพ์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในหินตะกอนและฝังตัวอยู่ในชั้นหิน ดังนั้นจึงควรเริ่มหาจากหินตะกอนที่โผล่ขึ้นมาตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณผิวหน้าหินที่มีการผุกร่อน ทั้งโดยกระแสน้ำ คลื่น กระแสลม ฝน ฯลฯ จะทำให้สังเกตเห็นความแตกต่างของเนื้อหินและซากดึกดำบรรพ์ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ บริเวณที่มีกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้ชั้นหินปรากฏขึ้นมา เช่น การทำเหมืองระเบิดหิน การทำบ่อดิน การสร้างทาง ฯลฯ แต่อาจจะมองเห็นซากดึกดำบรรพ์ได้ยาก เนื่องจากหินยังสดใหม่อยู่


 สภาพแวดล้อมยุคบรรพกาล จากการพบซากดึกดำบรรพ์ในถิ่น พบว่า สภาพแวดล้อมในการเกิดซากดึกดำบรรพ์ยุคบรรพกาล มีผลต่อการสำรวจพบซากดึกดำบรรพ์ ตัวอย่างเช่น
  1. ซากเปลือกของนอร์ติลอยด์ที่ถูกจัดเรียงกันเป็นแนวขนานกัน บ่งบอกถึงอิทธิพลของคลื่นในทะเลที่พัดพาซากสัตว์ที่ตายแล้ว ให้มาฝังตัวอยู่ในแอ่งตะกอน,
  2. บริเวณหินปูนที่มีซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลต์ จะพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ทะเลอื่นๆ บ่อยกว่าหินปูนทั่วไป อาจจะเป็นเพราะสาหร่ายเป็นผู้ผลิตในระบบนิเวศ จึงทำให้เกิดห่วงโซ่อาหารและตายทับถมกันบริเวณนี้ อีกทั้งสาหร่ายสโตรมาโตไลต์จะก่อตัวสูงขึ้นเรื่อยๆและสะสมตะกอนต่อเนื่อง จนห่อหุ้มซากต่างๆ เอาไว้
  3. ในบริเวณที่เป็นหินโคลน (Mudstone) เป็นหินตะกอนทีก่อตัวจากอนุภาคดินที่มีอินทรีย์วัตถุในปริมาณสูงมาก บ่งบอกให้รู้ถึงสภาพแวดล้อมยุคบรรพกาลที่เป็นปลักตม, แอ่งโคลน ที่มีการเน่าเปื่อยผุผังย่อยสลายโดยจุลินทรีย์สูง ทำให้แทบจะไม่พบซากดึกดำบรรพ์เลย ชิ้นซากดึกดำบรรพ์ที่เราพบจะมีรายละเอียดไม่ชัด จนยากแก่การจำแนก แต่กลับเป็นแหล่งสำคัญที่ทำให้พบร่องรอยกิจกรรมของสิ่งมีชีวิต เช่น รูชอนไชในเลนโคลน (Burrow)
  4. นอกจากนี้ ในหินทรายที่มีลักษณะตะกอนมนขนาดเล็ก ซึ่งเป็นร่องรอยของอิทธิพลของกระแสน้ำในสภาพแวดล้อมการเกิดหินตะกอน จะพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ที่มีเปลือกหุ้มแตกวิ่นชำรุด แต่กลับพบหอยกาบคู่ที่สภาพที่สมบูรณ์กว่า
·
การสังเกตและจำแนกกลุ่มสิ่งมีชีวิตให้กับซากดึกดำบรรพ์
เราใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการจำแนกสิ่งมีชีวิต ตามหลักอนุกรมวิธานของสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่ปัญหาที่เราพบในการสำรวจภาคสนามก็คือ ซากดึกดำบรรพ์บางกระบวนการทำให้สัณฐานสิ่งมีชีวิต ผิดไปจากเดิม จึงจำเป็นต้องมีประสบการณ์และความชำนาญในซากดึกดำบรรพ์ นอกจากนี้ การโผล่พ้นชั้นหินออกมาจากซากดึกดำบรรพ์ ทำให้ซากดึกดำบรรพ์บิดเบี้ยวไปตามแรงยกตัวของเปลือกโลก และการขาดวิ่น แตกหักทำให้ผู้ศึกษาควรฝึกจินตนาการรูปทรงของสิ่งมีชีวิต ที่ถูกตัดออกตามแนวระนาบต่างๆ (Space-space skill) จะทำให้เราเกิดความชำนาญต่อการระบุกลุ่มสิ่งมีชีวิตให้กับซากดึกดำบรรพ์

· การบันทึกข้อมูลการพบซากดึกดำบรรพ์ในภาคสนาม
เราควรบันทึกภาพถ่ายซากดึกดำบรรพ์หลายๆมุม มีการวางสเกลไม้บรรทัดเพื่อเปรียบเทียบขนาดของซากดึกดำบรรพ์ บันทึกผู้พบ, วันเดือนปีที่พบ, จดบันทึกตำแหน่งที่พบตามภูมิประเทศ, ตำแหน่งพิกัดอุปกรณ์ GPS ชั้นหินที่พบ รายละเอียดของชั้นหิน ตลอดจนข้อมูลอื่นๆ เช่น การเรียงตัวของซากดึกดำบรรพ์ที่พบและตัวอื่นๆ แร่ที่แทรกซ้อน มุมเทลาดของชั้นหิน เราไม่ควรเก็บซากดึกดำบรรพ์มาโดยไม่มีวัตถุประสงค์ เพราะนอกจากจะเป็นการทำลายข้อมูลอันมีค่าต่อผู้ที่จะมาศึกษาภายหลังแล้ว ยังเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติคุ้มครองซากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. 2551 อีกด้วย

การศึกษาสำรวจซากดึกดำบรรพ์ในท้องถิ่น

การศึกษาสำรวจซากดึกดำบรรพ์ในท้องถิ่น

       แหล่งที่พบซากดึกดำบรรพ์ในจังหวัดสตูล พบว่า อยู่ในมหายุคพาลีโอโซอิก โดยประกอบไปด้วยยุคแคมเบรียนจนถึงยุคคาร์บอนิเฟอรัส ตามตารางธรณีกาล (Geologic time scale)

· ยุคแคมเบรียน (Cambrian period) 542-488 ล้านปี เริ่มมีซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีเปลือกแข็งหุ้มลำตัวหลายชนิด เช่น ไทรโลไบท์, นอติลอยด์, ปะการัง, หอยทะเล ฯลฯ แพร่หลายในยุคนี้ สัตว์ในยุคนี้ส่วนใหญ่กินพืช เช่น พวกสาหร่ายเป็นอาหาร มีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ไทรโลไบท์ ที่เกาะตะรุเตา จังหวัดสตูล อายุประมาณ 500 ล้านปี นับเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่พบในประเทศไทย

· ยุคออร์โดวิเชียน (Ordovician period) 488-443 ล้านปี เป็นยุคที่สิ่งมีชีวิตในทะเลมีการพัฒนาและแพร่กระจายหลายกลุ่ม ทั้งพวกที่อาศัยอยู่ตามพื้นทะเล เริ่มพบซากดึกดำบรรพ์ปลาพวกแรกเป็นครั้งแรก เป็นพวกปลาไม่มีกระดูกขากรรไกร ในประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ยุคนี้น้อยมาก จากการพบซากดึกดำบรรพ์ในกลุ่มหินทุ่งสงในจังหวัดสตูลของเรา เช่น ปลาหมึกทะเลโบราณ (Nautiloid) ไทรโลไบท์ แอมโมนอยด์ ฟองน้ำ พลับพลึงทะเล (Crinoid) หอยโข่งทะเล หอยตะเกียง(Brachiopod) และมีซากดึกดำบรรพ์ของสาหร่ายสโตรมาโตไลต์ (Stromatolite) เป็นจำนวนมาก

· ยุคไซลูเรียน (Silurian period) 443-416 ล้านปี เริ่มมีซากดึกดำบรรพ์พืชบกเป็นครั้งแรกบนโลก ในประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ยุคนี้จำนวนไม่มากนัก ส่วนจังหวัดสตูล จากการสำรวจของเราพบแกรปโตไลต์ ไทรโลไบท์ หอยฝาเดียว แอมโมนอยด์ หอยกาบคู่ รูหนอนชอนไช ฯลฯ
· ยุคดีโวเนียน (Devonian period) 416-359 ล้านปี เริ่มมีซากดึกดำบรรพ์แมลงและสัตว์สี่เท้า ซึ่งมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างปลาและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำเป็นครั้งแรกบนโลก สัตว์เริ่มอพยพจากน้ำขึ้นสู่บก เพื่อหาอาหารเนื่องจากยุคนี้มีสภาพอากาศแห้งแล้ง ในประเทศไทยส่วนใหญ่พบสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ที่อาศัยอยู่ในทะเล เช่นปะการัง สโตรมาโตโปลอยด์ ที่จังหวัดเลย และแกรปโตไลต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนพบฟันปลาฉลามหลายชนิด ที่จังหวัดสตูล จากการสำรวจของเราพบหอยตะเกียง (Brachiopod) ปะการัง พลับพลึงทะเล(Crinoid) เสื่อทะเล (Bryozoa)

· ยุคคาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous period) 359-299 ล้านปี ยุคนี้เริ่มมีพืชเกิดขึ้นจำนวนมากบนโลก ได้แก่ เฟิร์นและแส้หางม้า มีสัตว์เลื้อยคลานเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงปลายยุคคาร์บอนิเฟอรัส ซึ่งเป็นช่วงมีตกทับถมของพืชในหนองน้ำจืด เกิดเป็นถ่านหินมากมายในโลก และเป็นที่มาของชื่อยุคนี้ ที่มาจากคำว่า คาร์บอน ซึ่งแปลว่า ถ่านหิน นอกจากนี้ ยังมีแมลงเกิดขึ้นจำนวนมาก

หลักการเบื้องต้นของการสำรวจและศึกษาซากดึกดำบรรพ์

หลักการเบื้องต้นของการสำรวจและศึกษาซากดึกดำบรรพ์


การสำรวจและศึกษาซากดึกดำบรรพ์ อาศัยหลักการพื้นฐานใหญ่ 4 ประการคือ
  1. หลักการวางตัวซ้อนทับ (Law of Superposition) ซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ชั้นล่างย่อมมีอายุเก่าแก่กว่าซากดึกดำบรรพ์ที่อยู่ชั้นบน จากภาพประกอบซากดึกดำบรรพ์ D มีอายุมากกว่าซากดึกดำบรรพ์ C
  2. หลักความเป็นเอกภาพ (Law of Uniformitarianism)การจะอธิบายสภาพแวดล้อมยุคบรรพกาลของซากดึกดำบรรพ์ ที่เรียงตัวอยู่ในชั้นหิน สามารถเก็บข้อมูลจากสภาพของหินตะกอนต่างๆและการเรียงตัวของซากดึกดำบรรพ์
  3. หลักการใช้ซากดึกดำบรรพ์หาความสัมพันธ์ (fossil correlation) เป็นการค้นพบว่า ซากดึกดำบรรพ์ที่เกิดขึ้นในชั้นหินต่างกันนั้น จะมีรูปร่างและสายพันธุ์แตกต่างกันออกไป แม้ว่าจะวางซ้อนอยู่ในชั้นใกล้เคียงกัน เรานำหลักการนี้ไปใช้ลงข้อสรุปว่า ชั้นหินที่อยู่ห่างไกลกัน หากเป็นหินและซากดึกดำบรรพ์ชนิดเดียวกัน แสดงว่า ชั้นหินทั้งสองแหล่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน และอาจเกิดขึ้นในแอ่งสะสมตะกอนเดียวกัน หลักการนี้ทำให้เกิดการหาอายุสัมพันธ์ของหินในที่ต่างๆ แล้วนำมาเทียบเคียงพัฒนาเป็นมาตรธรณีกาลที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
  4. การใช้ซากดึกดำบรรพ์เพื่อใช้หาความสัมพันธ์ของอายุชั้นหิน (index fossils) ซากดึกดำบรรพ์บางชนิดเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ของธรณีกาล และในช่วงชีวิตนั้นมีการแพร่กระจายไปได้กว้างขวางมาก เราจึงสามารถใช้ซากดึกดำบรรพ์ที่มีช่วงเวลาดำรงชีวิตจำเพาะนี้ เป็นซากดึกดำบรรพ์ดัชนี (Index fossil) ใช้ในการกำหนดอายุหินได้เป็นอย่างดี 

กระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์ (Fossilization)

กระบวนการเกิดซากดึกดำบรรพ์ (Fossilization)

การอาจเกิดได้หลากหลายรูปแบบ ในที่นี้ขอกล่าวถึงเฉพาะที่เราสำรวจพบในท้องถิ่น ได้แก่


- การเกิดปฏิกิริยาเคมีที่เปลี่ยนส่วนประกอบของเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิตออก จนเหลือธาตุคาร์บอนที่อยู่ในสิ่งมีชีวิต หลงเหลือติดอยู่เป็นแผ่นฟิลม์บางๆในเนื้อหิน (Carbonization) ดังภาพประกอบทางซ้าย เป็นรอยพิมพ์ของซากดึกดำบรรพ์แกรปโตไลต์ในหินดินดาน
- การสะสมสารละลายของแร่ธาตุต่างๆ เข้าไปในส่วนที่เป็นรูพรุนของโครงสร้างที่แข็งของซากสิ่งมีชีวิต ทำให้ซากส่วนนั้นแข็งยิ่งขึ้น (Permineralization) โดยบางครั้งแร่ที่เข้าไปแทนที่ อาจจะมีส่วนประกอบเหมือนหรือต่างกับโครงสร้างเดิม ดังภาพประกอบทางซ้าย เป็นเปลือกของหอยโข่ง (Maclurite) ในหินปูน
- การที่ดินตะกอนทับถมรูปร่างภายนอกของซากสิ่งมีชีวิต จนคงรูปรอยพิมพ์ (mold) สามารถเกิดรอยพิมพ์ทั้งด้านนอก (External mold) และด้านใน (Internal mold) ของสิ่งมีชีวิต และในบางครั้งโครงร่างแข็งนี้ ถูกชะล้างโดยสารละลายทำให้เกิดช่องว่าง และถูกแทนที่โดยแร่ธาตุต่างๆ เกิดเป็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิต (Cast) ดังภาพประกอบทางซ้าย เป็นรอยพิมพ์ (Mold) ของหอยตะเกียง (Brachiopod) ในหินดินดาน

      นอกจากนี้ ยังมีการเกิดซากดึกดำบรรพ์แบบอื่นๆ เช่น การถูกแช่แข็งของช้างแมมม็อท (Mammoths) ในน้ำแข็งแถบทุนดราในไซบีเรีย หรือซากสัตว์ที่ตายกลายเป็นมัมมี่ตามธรรมชาติ (natural mummies) ในสภาพอากาศที่แห้งของทะเลทราย ซึ่งจะเก็บรักษาส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อต่างเอาไว้ได้บางส่วน

ซากดึกดำบรรพ์และความหมาย

ซากดึกดำบรรพ์และความหมาย

คำว่า “ซากดึกดำบรรพ์” หมายถึง ซากของสิ่งมีชีวิตในอดีตกาลที่ตายทับถม อยู่ในชั้นหิน รวมไปถึงร่องรอยการดำรงชีวิตที่ประทับอยู่ในชั้นหินอีกด้วย
การที่ซากสิ่งมีชีวิตจะสามารถคงรูปเป็นซากดึกดำบรรพ์ ก่อนที่จะเน่าเปื่อยสลายตัวไป จะต้องถูกฝังทับถมโดยชั้นตะกอนทันที สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมทำให้รอดพ้นจากการเน่าสลาย และการมีโครงสร้างของร่างกายที่เป็นของแข็ง เช่น เปลือก เกล็ด ฟัน กระดูก ฯลฯ เหลือไว้อยู่
นอกจากนี้ ยังต้องมีองค์ประกอบของแร่ธาตุต่างๆที่เหมาะสม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของส่วนที่แข็งของสิ่งมีชีวิต จนเกิดเป็นซากดึกดำบรรพ์ในที่สุด

ซากดึกดำบรรพ์ในท้องถิ่นจังหวัดสตูล

                               ซากดึกดำบรรพ์ในท้องถิ่นจังหวัดสตูล


การศึกษาสำรวจซากดึกดำบรรพ์ (Fossil) เป็นงานที่ต้องใช้ความรู้และทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หลายประการ ต่อการที่จะสืบเสาะค้นหาคำตอบที่ซุกซ่อนอยู่ในซากดำบรรพ์และชั้นหิน ซึ่งเปรียบได้กับการอ่านบันทึกการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกในอดีตกาล ทำให้เราเข้าใจสภาพแวดล้อมในอดีตและปัจจุบัน ตลอดจนการทำนายการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น
งานสำรวจเช่นนี้ เป็นกิจกรรมที่ท้าทายความรู้ความสามารถ กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นความสนใจของเยาวชนและบุคคลต่างๆ เหมาะต่อการนำมาจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ให้กับเยาวชน
นอกจากจะเป็นหลักฐานการศึกษาวิวัฒนาการและธรณีวิทยาแล้ว ยังสามารถพัฒนาเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับท้องถิ่น แต่ทั้งนี้มิใช่ทุกท้องที่จะมีซากดึกดำบรรพ์ จึงนับเป็นทรัพยากรต้นทุนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ให้กับท้องถิ่นจังหวัดสตูลได้
เป็นที่น่ากังวลว่า นับวันซากดึกดำบรรพ์ถูกทำลายไป ในการขุด-ขายหน้าดิน การระเบิดหิน โดยคนในถิ่นที่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องซากดึกดำบรรพ์ หรือการกร่อนของซากดึกดำบรรพ์ตามธรรมชาติ ตลอดจนการถูกทำลายโดยนักล่าซากดึกดำบรรพ์ (Fossil hunter) ที่ขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรที่หมดไปไม่อาจทดแทนได้นี้ ดังนั้นเราควรจะได้ศึกษาซากดึกดำบรรพ์ เพื่อตระหนักให้เห็นถึงคุณค่าและอนุรักษ์ให้เป็นมรดกตกทอดแก่คนรุ่นหลัง ตลอดจนหาแนวทางพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษา เศรษฐกิจและสังคมไทย ที่ยั่งยืนต่อไปในอนาคต

Fossil in Satun จัดทำโดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2